เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๓ ต.ค. ๒๕๔๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๔๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

แล้วแต่ความเห็นคนนะ ความเห็นคนเราเข้าถึงศาสนาขนาดไหน ตัวศาสนา เห็นไหม ธรรมะนี้เป็นของเก่าแก่ ในสัมพุทเธสวดมนต์น่ะ เวลาบทสวดมนต์พระพุทธเจ้า ๕๐๐ พระองค์ พระพุทธเจ้าล้าน ๆ พระองค์ เห็นไหม มีพระพุทธเจ้ามาตลอดไป แล้วพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ตรัสรู้ธรรมอย่างนี้ ธรรมคืออริยสัจ มรรคอริยสัจจัง มรรคคือเครื่องดำเนินของสัจธรรม

สัจธรรม เห็นไหม อริยสัจนี่มันมีทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคนี้เป็นเครื่องดำเนิน สิ่งนี้มีอยู่โดยดั้งเดิมเป็นของเก่าแก่ แล้วเราไม่เคยเข้าใจกัน มันเป็นของลึกลับ ลึกลับที่ว่ามันเป็นความลึกซึ้งในหัวใจที่ไม่มีใครสามารถจะขุดคุ้ยขึ้นมาได้เลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องสะสมบุญญาธิการมามากมายมหาศาล ถึงได้มาตรัสรู้สิ่งที่มีอยู่

เจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ไม่อยากจะเทศนาว่าการไม่อยากจะสอนใครเลย เพราะมันเป็นสิ่งที่ว่าใครหนอจะรู้สิ่งนี้ได้ มันเป็นของลึกลับขนาดนั้นมันถึงสามารถชำระกิเลสในความลึกลับของในหัวใจเราได้ แล้วเราเกิดมาใหม่ เราเกิดมาทุกคนเกิดมาแล้วก็ว่าเป็นชาติเดียว เกิดมาก็ว่าพบพระพุทธศาสนา เกิดมาก็ว่ามีอยู่แล้ว เป็นของสองพันกว่าปีเป็นของเก่าแก่

ของเก่าแก่ของครึของล้าสมัยไง พวกเราถึงไม่สามารถจะเข้าถึงธรรมได้ แล้วประเพณีวัฒนธรรมมันก็เหมือนกับลอยฟ่องอยู่บนน้ำ บนผิวน้ำมีสิ่งใดลอยอยู่บนสิ่งนั้น เราจะเห็นสิ่งนั้นเป็นว่าสิ่งนั้นลอยมาแล้วปกคลุมน้ำไว้อยู่ เหมือนกับสิ่งที่ปกคลุมน้ำอยู่แล้วลอยอยู่บนเหนือน้ำนั้น ประเพณีวัฒนธรรมเป็นแบบนั้น

ถ้าประเพณีวัฒนธรรมทำให้เราเป็นคนดี ประเพณีนะ ถ้าประเพณีเข้มแข็งนี่มันมีอำนาจเหนือกฎหมายนะ ถ้าเราทำผิดสิ่งนั้นสังคมจะปฏิเสธเราเลย ถ้าสังคมปฏิเสธเรานี่เราจะเข้าสังคมไม่ได้ ประเพณีวัฒนธรรมมีอำนาจขนาดนั้น แต่ประเพณีวัฒนธรรมนี่เป็นความยึด เป็นความยึดว่าเราจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง แล้วบางทีมันก็เสื่อมไป เสื่อมไปแล้วคนฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ จะเป็นอยู่อย่างนั้น ประเพณีพื้นที่อย่างหนึ่งก็เป็นอย่างหนึ่ง

นี้ก็เหมือนกัน ในประเพณีวัฒนธรรมการทอดกฐินมันก็เหมือนกับประเพณีต่าง ๆ ไป ต้องมีธง ต้องมีธงตะขาบ ต้องมีอะไร ถึงจะเป็นครบองค์ประกอบไง อันนี้ว่าสมัยพุทธกาลน่ะเกิดขึ้นมาเพราะสิ่งใด มันเพราะประเพณีมันยาวนานมา สิ่งนี้ยาวนานมานี่เพราะเหตุว่ามันมีตะขาบ มีตะเข้ มีอะไรนี่ เพราะสิ่งนั้นเพื่อว่าเขาจะทำบุญกุศลของเขา เขาจะเป็นไปของเขา เพราะว่ามีสิ่งนั้นมาแล้วเราถึงเอาสิ่งนั้นเป็นสิ่งเครื่องประกอบ

แต่ความจริงแล้วมันก็เรื่องของกฐินแล้วเรื่องของพระพุทธเจ้าอนุญาตให้เรื่องตัดผ้าเท่านั้นเอง ตัดผ้ากฐิน เห็นไหม สำคัญคือตัวผ้ากฐิน ตัวผ้านั้นเพราะว่าพระภิกษุนี่จำพรรษาแล้วไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ออกพรรษาแล้วไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วผ้าขาดผ้าเปียกผ้าเปื่อย พระพุทธเจ้าบอกว่า “ถ้ายังจำพรรษาแล้วให้อานิสงส์ของพรรษาให้ได้ทอดกฐิน ให้พระได้ตัดผ้าได้กรานกฐินก่อน”

นี่มาติกา ๘ มาติกา ๘ หมายถึงว่าผู้ที่จะได้อานิสงส์ของผ้ากฐิน พระนี้ต้องตัด ต้องเนา ต้องเย็บ ต้องย้อม ให้ผ้านั้นเป็นผ้าสบงผ้าจีวรขึ้นมา เป็นครบองค์เพราะอะไร? เพราะเป็นความสามัคคีของพระนั้น พระนั้นจะทำได้เพราะต้องมีสามัคคี สมัยก่อนไม่มีจักร ต้องเย็บด้วยมือแล้วเสร็จภายในวันเดียว สิ่งที่ว่าจะเสร็จภายในวันเดียวนี่มีความสามัคคีในสงฆ์นั้น

พระพุทธเจ้านี่วินัยวางไว้เพื่อความอยู่ดีของสงฆ์ เพื่อความผาสุกของสงฆ์นั้น เพื่อความสะอาดสุขของบริษัท ๔ มันต้องมีความสามัคคีต้องมีความร่วมมือกันทุก ๆ อย่าง แล้วสิ่งนั้นจะสมประกอบ สิ่งนั้นสมประกอบความสามัคคีความร่วมมืออันนั้นมันเป็นบุญกุศลขึ้นมา บุญกุศลเกิดขึ้นจากตรงนี้ไง หัวใจมันอยู่ตรงที่ว่าตัดผ้านั้นน่ะ

ความได้มาเหมือนกัน กฐินจะได้มา จะเป็นว่ากฐินเป็นกรานหรือไม่เป็นกราน ถ้ากรานกฐินได้มา กฐินนั้นต้องบริสุทธิ์ ถ้าได้มาไม่บริสุทธิ์ ไปขอเอาเป็นเรานี่มันไม่บริสุทธิ์ แต่เดี๋ยวนี้เป็นกรานอย่างนั้นทั้งหมดเลย กฐินนี่เรียกร้องเอา ขอเอาตลอดไป แล้วมันเป็นว่ามันได้มาแล้วมันจะไม่เป็นความบริสุทธิ์ นั้นเป็นเรื่องของประเพณี เพราะเรายึดกันตรงนั้น

แต่ถ้าเรายึดกันที่ว่าเจตนา ความเป็นองค์กฐินนี้เกิดขึ้นมาจากเราตั้งใจทอดผ้ากฐินแล้ว ผ้ากฐินนั้นเกิดจากเจตนาของเราแล้วพระทำถูกต้องตามธรรมวินัย สิ่งนั้นเป็นหัวใจมันอยู่ตรงนั้น ศาสนาอยู่ตรงนี้แล้วมันจะเคลื่อนออกไปขนาดไหนแล้วแต่โลก โลกจะเคลื่อนออกไปพาออกไป ศาสนานี้เป็นเรื่องเก่าแก่ ธรรมะนี้เป็นของเก่าแก่ เก่าแก่มาก เก่าแก่จนเราแบบว่ามองข้ามไป

แล้วเราอยู่กับโลกเขา อยู่กับโลกเขาว่าถ้ามีบุญกุศลนี้ต้องประสบความสำเร็จทางโลก ทำเรื่องของโลกแล้วจะมีประสบความสำเร็จ จะต้องมั่งมีศรีสุข ความมั่งมีศรีสุขนั้นถ้าคนสร้างบุญกุศลมามันจะมั่งมีศรีสุข แล้วพร้อมกับความสุขในหัวใจถ้าเขามีธรรมในหัวใจ แต่ถ้ามันมั่งมีศรีสุขแล้วไม่มีธรรมในหัวใจ สิ่งนั้นเป็นของที่เร่าร้อน เป็นเรื่องที่หวาดระแวง เป็นที่ต้องสงวนรักษา มันจะเป็นความทุกข์ไปทั้งหมดเลยถ้าหัวใจนั้นไม่มีธรรม

ถ้าหัวใจนั้นไม่เข้าใจธรรม แล้วธรรมเกิดขึ้นมาจากไหน? ธรรมนี้มันมีอยู่โดยดั้งเดิม แล้วหัวใจเรานี่เกิดตาย ๆ มา การเกิดและการตายในหัวใจนี่มันเป็นการสะสมบารมี ถ้าเราสะสมบารมีเราทำคุณงามความดีมา เราจะมีความปรารถนา มีหัวใจที่ว่าปรารถนาจะเข้ามาในเรื่องของศาสนา ทาน ศีล ภาวนา เรื่องของทาน ทำทานกัน ให้ทานกัน บุญกุศลนี่ ทำทานก็เป็นเรื่องแสนยาก เป็นเรื่องทุกข์เรื่องยาก เรื่องการแสวงหา

นั่นเป็นเรื่องทุกข์เรื่องยากเพราะมันเป็นเรื่องหยาบ มันต้องให้มีทานก่อน แล้วมีศีล ศีลความปกติของใจ ถ้าใจมันจะปกติขึ้นมามันจะมีความไม่คิดออกไป มันดัดแปลงตนได้ด้วยความบังคับตนไง ถ้าไม่มีศีลบังคับตนนะ เวลามันคิดอะไรนี่มันไม่มีขอบไม่มีเขต มันก็คิดไปตามประสามัน แต่ถ้ามีศีลขึ้นมา สิ่งนี้มันเป็นความผิดแล้วนะ สิ่งนี้เป็นความว่าไม่สมควรจะคิด มันดัดแปลงขึ้นมา มันจะเป็นสมาธิเข้ามา เป็นภาวนาเข้ามา

ถ้าสิ่งนี้มันละเอียดเข้ามา เห็นไหม ของเก่าแก่เก่าแก่ที่หัวใจนี้ หัวใจนี้เก่าแก่ยิ่งกว่าเก่าแก่อีก เพราะการเกิดและการตาย เราเกิดมานี่ แต่ละภพชาติขึ้นมานี่ ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีต้นไม่มีปลาย บุพเพนิวาสานุสติญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเครื่องประกัน ประกันเลยว่าการเกิดมานี่พระพุทธเจ้าเกิดมามากมายมหาศาล เกิดเป็นสัตว์ก็เป็น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เกิดเป็นนกเป็นกานี่เกิดมาตลอด เกิดเป็นกวาง เกิดเป็นอะไร พระพุทธเจ้าเกิดมาตลอด

แล้วพระพุทธเจ้าสร้างสมบารมีมาขนาดไหน เป็นศาสดาของเรา เป็นครูของเรา แล้วอย่างพวกเราจะไม่เกิดอย่างนั้นบ้างหรือ? จะไม่เป็นไปอย่างนั้นน่ะหรือ? ถ้าเราเชื่อสิ่งนั้น เราเชื่อครูบาอาจารย์ เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว แล้วเราจะเชื่อว่าเกิดตาย ๆ มา ใจเราก็เกิดตาย ๆ มาตลอด มันถึงย้อนกลับเข้ามาไง เชื่อในเรื่องศาสนา เชื่อในเรื่องคุณงามความดี

งานในการนั่งสมาธิภาวนานี่ ถ้าคนไม่มีความคิด ไม่มีความเชื่อนะ เสียเวลามาก ชีวิตหนึ่งควรจะแสวงหาสิ่งที่ความพอใจของตัว จะคิดอย่างไร จะปรารถนาขนาดไหนก็ต้องควรจะเป็นแบบนั้น ทำไมต้องมาทุกข์มายาก ต้องมาทรมานตน ผู้ที่ทรมานตน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาพระสาวกพาลูกศิษย์ไปหานี่ “ใครเป็นผู้ทรมาน? ใครเป็นผู้ทรมาน?”

การทรมานตน การมีครูบาอาจารย์นี่เป็นของที่แสนยาก มันจะเชื่อได้อย่างไร? ถ้ามันไม่เชื่อนะ เราเองเราก็ไม่เชื่อเรา เราไม่เชื่อเราเราก็ไม่เชื่อทุก ๆ อย่าง พระที่ปฏิบัติไม่ได้เพราะเหตุนั้นไง เหตุที่ว่าเราทำมา เราทุ่มมาเต็มที่เลย เรายังปฏิบัติไม่ได้ผลเลย แล้วคนอื่นจะทำได้หรือ? ตรงนี้มันไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่าเราทำไม่ได้คนอื่นก็ต้องทำไม่ได้เหมือนเรา มันไม่ได้คิดหรอกว่าคนนี่สะสมมาขนาดไหน ความเห็นของใจนี่มันสะสมมาขนาดไหน

มันเรื่องของการเวียนตายเวียนเกิด มันมีอำนาจวาสนาขนาดไหน ความคิดของเรา บางทีเรายังสลดสังเวชในความเห็นของเราเลย เราคิดผิด เราทำผิด แล้วเรานึกได้นี่เรายังสลดสังเวช เรายังคิดว่ามันไม่ควรทำเลย ทำไมเรายับยั้งตัวเราไม่ได้ แล้วความคิดของครูบาอาจารย์จะไม่มีอย่างนี้หรือ? การประพฤติปฏิบัติของครูบาอาจารย์จะไม่มีความสามารถเข้ามาเห็นถึงใจ ย้อนกลับเข้ามาจากภายในได้หรือ?

เพราะมีใจเหมือนกัน แต่ใจหยาบใจละเอียดต่างกัน ถ้าใจหยาบขึ้นมามันก็คิดได้แต่ความคิดของเรา ความคิดนี้ยังจับต้องตัวเองไม่ได้เลย คิดว่าความคิดนี้มาจากไหนนี่ยังไม่รู้จักเลย แต่ครูบาอาจารย์สามารถจับความสงบของใจได้ จับต้องความคิดของเราได้ ความคิดนี้เป็นเหมือนวัตถุสิ่งหนึ่ง เป็นวัตถุสิ่งหนึ่งเลย เป็นของชิ้นหนึ่งเลยที่เราจับต้องได้

แล้วเราจับต้องได้ แล้วเรามาพลิกแพลง พลิกแพลงดูความคิดไง ความคิดนี้มันเกิดมาจากไหน? ความคิดนี้เป็นได้อย่างไร? มันเป็นขันธ์ ๕ เป็นสัญญา สัญญาเกิดขึ้นก่อน มันความคิดขึ้นก่อน มันวิญญาณรับรู้นี่สังขารปรุงแต่งขึ้นไป มันเป็นวัตถุสิ่งหนึ่งที่เราสามารถจับแล้วเราพลิกแพลงหรือว่าดูสิ่งนั้นมันเคลื่อนไหวไปได้อย่างไร? ความคิดนี้มันเคลื่อนไหวไปในขันธ์นี่มันเคลื่อนไหวไปได้อย่างไร?

พอมันเคลื่อนไหวออกไปนี่มันไปรับรู้สิ่งใด ถ้ามันมีกิเลสอยู่มันรับรู้สิ่งใดมันก็ยึดมั่นถือมั่นอย่างนั้น ยึดมั่นถือมั่นความเห็นผิดของมันไง มันเห็นว่าสิ่งใดเป็นความพอใจ เป็นความชอบใจของมัน มันยึดอย่างนั้น แล้วยึดที่ไหนยึดลงไปที่ไหนก็เป็นไฟทั้งหมดเลย สิ่งที่เป็นไฟพระพุทธเจ้าบอกไว้เลย “อำนาจนั้นคือกองไฟ”

ผู้ที่มีอำนาจมาก ผู้ที่อยากจะปกครองประเทศนี่เข้าไปกอดในกองไฟ กอดในกองไฟหมายถึงว่ามันเป็นสิ่งที่เร่าร้อน แต่เราต้องการอำนาจกัน ผู้ใดมีอำนาจ ผู้ใดมีตำแหน่งหน้าที่ มีอำนาจขึ้นมานี่ มันใช้อำนาจนั้นแสวงหาผลประโยชน์ได้ แต่คนดี ถ้าอำนาจนั้นเป็นคนดีนะ คนที่สร้างสมบารมีมามีอำนาจ อำนาจนั้นใช้ไปในทางธรรม ถ้าใช้ไปในทางธรรมประเทศชาติจะเจริญ คนอื่นก็เจริญจะมีความสุข ความสุขเกิดจากเรา นี่คืออำนาจวาสนาไง

อำนาจวาสนาขึ้นมานี่พุทธภูมิ เห็นไหม โพธิสัตว์ พระพุทธเจ้าโพธิสัตว์นี่เป็นกษัตริย์ เป็นผู้ปกครองแผ่นดิน แล้วพยายามให้แต่ความสุข พระเวสสันดรนี่สละทาน ๆ ตลอด ถึงชาติสุดท้ายสละจนหมดสิ้น สละออกไปเพื่อความสุขของหมู่ชน ทำบุญไว้ขนาดนั้น ถึงได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องบารมีครบ นี่พระโพธิสัตว์ เป็นผู้ให้เป็นผู้ที่สละ นั่นน่ะใจมันเปิดออกตลอด มันถึงย้อนกลับมาเห็นความเห็นของตัว

บุพเพนิวาสานุสติญาณนี้มันเป็นญาณที่เกิดขึ้นเวียนออกไปข้างนอก จุตูปปาตญาณ ญาณก็ส่งออกไป อาสวักขยญาณ นั่นน่ะอานาปานสติในการทำความสงบของใจว่าทำความสงบของใจนี่สามารถชำระกิเลสได้ไหม อานาปานสติคือทำความสงบของใจ แต่ใจนี้สงบแล้วนี่สิ่งนี้เป็นพื้นฐาน เป็นสัมมาสมาธิยกขึ้นเป็นบุพเพนิวาสานุสติญาณ สิ่งนั้นส่งออกไป

อานาปานสติเป็นพื้นฐาน ใจสงบขึ้นมาแล้วย้อนออกไป มันก็ไม่ชำระกิเลส จุตูปปาตญาณก็ไม่ชำระกิเลส จนอาสวักขยญาณ อาสวักขยญาณเกิดขึ้นจากอะไร? เกิดขึ้นจากอานาปานสติทำความสงบของใจเข้ามา ใจสงบเข้ามา ๆ จนย้อนกลับเข้ามาแล้วจับต้องใจได้ จับต้องสิ่งนี้แล้วพลิกแพลงหัวใจไปตามความเห็นของโลกเขา

โลกกิเลสคือมันขับไสไป แล้วทวนกระแสกลับมาย้อนกลับมา จนเป็นอาสวักขยญาณ สิ้นอาสวะขัย ทำลายอาสวะขัยในหัวใจนั้นจบสิ้นไป ครูบาอาจารย์เป็นแบบนั้น เป็นผู้ที่ทำลายสิ่งที่หมักหมมในหัวใจย้อนออกไป มันสิ้นออกไป มันถึงว่าเป็นสิ่งที่ธรรม ๆ ธรรมคือสัมผัสกับหัวใจ แล้วหัวใจนี่มันก็เป็นธรรมถ้ามันเป็นธรรม

แต่หัวใจของเรามันมีกิเลสปกปิดอยู่มันถึงเป็นกิเลส กิเลสในหัวใจ หัวใจนี้มันมีอยู่ในเราไง มันถึงว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าถ้าใครรักษาใจ ใครควบคุมใจ ใครพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เดินจงกรมภาวนาเพื่อจะให้มันหยุดนิ่งไง ให้มันอยู่กับเรา อย่าให้มันอยู่กับความคิดต่าง ๆ อยู่กับสิ่งของต่าง ๆ ที่มันคิดออกไป มันคิดออกไปมันอยู่กับสิ่งนั้นน่ะ คิดเรื่องโลกก็เป็นเรื่องโลก คิดเรื่องต่าง ๆ มันก็เป็นเรื่องนั้น ความคิดไปอยู่กับสิ่งนั้น

เราส่งออกตลอด ส่งหัวใจไปอยู่กับสิ่งนั้น แล้วแบกรับสิ่งใดไว้ ถ้าอยู่กับสิ่งนั้นมันก็เป็นความร้อน ถ้ามันปล่อยวางเข้ามาพยายามทำความสงบของใจเข้ามามันก็ปล่อยวาง สิ่งที่เป็นทานก็เป็นทาน สิ่งที่เป็นศีลก็เป็นศีล สิ่งที่เป็นภาวนาก็เป็นภาวนา แล้วมันเกิดขึ้นมาจากเราจงใจทำไหม ถ้าเราจงใจทำเราปรารถนาทำนี่ย้อนกลับเข้ามา ธรรมเป็นของเก่าแก่ เก่าแก่มาแต่ดั้งเดิม แล้วมีมาอย่างนี้ตลอดไป

แต่เราก็เกิดตาย ๆ มาเจอธรรมแล้วก็ไม่เข้าใจว่าธรรมเป็นอะไร ไปเจอแต่สิ่งที่ว่าประเพณีวัฒนธรรม นั้นเป็นส่วนหนึ่ง ถ้าคนปล่อยวางตรงนั้นได้มันถึงจะภาวนาได้ไง ถ้าคนปล่อยตรงนั้นไม่ได้ การภาวนาคือการปล่อยสิ่งนั้น สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่หยาบ ๆ มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด ความคิดมันเป็นความหยาบ ๆ ความคิดของเรานี่เป็นความหยาบ เป็นมรรค สัมมาอาชีวะคือเลี้ยงชีวิตชอบ

แต่ถ้าเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ สัมมาอาชีวะคือเลี้ยงหัวใจชอบ อาการของใจ ใจจะย้อนกลับเข้ามาในหัวใจนี่ มันจะเลี้ยงหัวใจชอบ ถ้าเลี้ยงหัวใจชอบขึ้นมา นั่นน่ะเป็นมรรค มรรคจากภายนอก มรรคจากภายใน มรรคหยาบ ๆ ถ้ามรรคหยาบเราทิ้งมรรคหยาบไม่ได้ เราจะเกิดมรรคอย่างกลางไม่ได้ เราจะไม่มีมรรคอย่างละเอียดในหัวใจของเรา

มรรคอย่างละเอียดในหัวใจของเราคือมรรคที่เกิดขึ้นแล้วชำระฆ่ากิเลสได้ นั้นคือมรรคที่เกิดขึ้นจากเรา เกิดขึ้นจากผู้ที่ปฏิบัตินั้น มรรคของใครมรรคของบุคคลนั้น ทำลายกิเลสของบุคคลนั้น แล้วเกิดขึ้นแล้วดับไป ทำลายแล้วหมดสิ้นไป มรรค ๔ ผล ๔ ในหัวใจของแต่ละดวงเกิดขึ้นมาจากหัวใจ เกิดขึ้นมาจากการประพฤติปฏิบัติ เกิดขึ้นมาจากภาวนาของใจดวงนั้น นั้นถึงเป็นประโยชน์กับใจดวงนั้น ใจดวงนั้นถึงว่าเกิดขึ้นมาเจอธรรมแล้วให้มันได้สมประโยชน์จากธรรมนั้น

ธรรมที่เป็นของเก่าแก่ก็เป็นของเก่าแก่อยู่อย่างนั้น หัวใจก็ของเก่าแก่แต่ไม่เห็นว่าหัวใจนี้เก่าแก่เลยนะ ไม่เห็นว่าการเกิดการตายนี้เป็นของเก่าแก่ เก่าแก่เกิดตายมา ๆ ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ แล้วจะเกิดตายอย่างนี้ตลอดไป ของเก่าแก่กับของเก่าแก่มันจะเข้าคู่กันได้ถ้ามันเป็นประโยชน์ถ้าลืมตา ถ้าไม่ลืมตาของเก่าแก่เราก็เลยมองข้ามไปว่าของเก่าแก่ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์กับเราก็ไม่เป็นประโยชน์กับทุก ๆ คน เอวัง